รวมเรื่องภาษีที่เจ้าของธุรกิจร้านอาหารต้องรู้เปิดร้านต้องเสียภาษีอะไร ขาดทุนต้องจ่ายภาษีไหม และอีกหลายคำถามที่เจ้าของร้านอาหารควรรู้คำตอบ
ไม่ว่าร้านอาหารจะเล็กหรือใหญ่ มีรายได้ มีกำไร หรือขาดทุนเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องยื่นภาษีทุกปี เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของทุกคน ส่วนจะต้องเสียภาษีเพิ่มหรือไม่ และเสียเพิ่มเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับเงินได้สุทธิ ค่าใช้จ่าย การลดหย่อนต่าง ๆ และเรื่องภาษีมีรายละเอียดอีกมากมาย วันนี้ แอดมินจะพามามาค้นพบคำตอบเกี่ยวกับภาษีที่เจ้าของร้านอาหารสงสัย ไปชมกันเลย
เปิดร้านอาหารมีภาษีอะไรบ้างที่ต้องเสีย
- 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ต้องแยกบัญชีร้านออกจากบัญชีส่วนตัว และทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ละเอียด เพื่อใช้เป็นหลักฐาน หากถูกตรวจสอบ
- 2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม: คำนวณจาก 7% ของยอดขาย เฉพาะกรณีที่ร้านมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี
- 3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: เป็นการจัดเก็บภาษีล่วงหน้า กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับทุกครั้งที่จ่าย ซึ่งเงินที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ได้แก่ ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าจ้างทำของ ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง ค่าบริการ เงินปันผล รางวัลจากการชิงโชค ซึ่งมีอยู่หลายอัตรา เช่น ค่าเช่าอาคาร 5% หากร้านมีลูกจ้างที่รายได้เกิน 26,000 บาทต่อเดือน ก็ต้องทำการหักภาษี ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า นำส่งสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- 4. ภาษีป้าย: กรณีที่ร้านอาหารมีการติดป้ายชื่อร้าน ยี่ห้อ เครื่องหมายการค้า หรือการโฆษณาร้าน ที่ประกอบด้วยอักษร ภาพ ไม่ว่าจะเป็นป้ายทั่วไป ป้ายโฆษณาบนทางด่วน ป้ายผ้าใบ รวมถึงป้ายไฟ โดยเก็บภาษีตามลักษณะป้าย ดังนี้
อัตราภาษีป้าย (ปี 2566)
|
ประเภทป้าย
|
ป้ายที่มีข้อความเคลื่อนที่
หรือเปลี่ยนข้อความได้
|
ป้ายปกติทั่วไป
|
มีอักษรไทยล้วน
|
10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
5 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศ (รวมถึงเลขอารบิก) หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น
|
52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
26 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือมี เครื่องหมายใด ๆ หรือไม่และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ
|
52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
50 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
|
วิธีคำนวณภาษีป้าย
กว้าง x ยาว / พื้นที่ 500 ตร.ซม. = พื้นที่ที่ต้องเสียภาษีพื้นที่ที่ต้องเสียภาษี x อัตราภาษี = ภาษีป้ายที่ต้องจ่าย
ตัวอย่าง
ป้ายร้านส้มตำ “แอบแซ่บ” มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2.5 เมตร
100 x 250 ซม. / 500 ตร.ซม. = 50 ตร.ซม.
เป็นประเภท “ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน” จะคำนวณได้ยอดภาษีที่ต้องจ่าย = 50 x 10 = 500 บาท
5. ภาษีศุลกากร: กรณีที่ร้านสั่งนำเข้าวัสดุ อุปกรณ์ วัตถุดิบที่อยู่ในรายการบัญชีภาษีนำเข้า ซึ่งต้องตรวจสอบอัตราภาษีนำเข้ากับทางศุลกากร เพราะสินค้าแต่ละประเภทมีอัตราต่างกัน
6. ภาษีที่ดิน: ค่าอาคารที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาทำเป็นร้านอาหาร สามารถนำมาคิดค่าเสื่อม เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีได้
เจ้าของร้านอาหารต้องยื่นภาษีอะไร
- ตอบ เจ้าของร้านอาหารต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 ยื่น ภ.ง.ด.94 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารอบครึ่งปี) ภายในเดือนกันยายน
- ครี่งที่ 2 ยื่น ภ.ง.ด.90/91 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา) ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
- โดยสามารถยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานสรรพากรทั่วประเทศ หรือยื่นออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th
- ทั้งนี้ สำหรับการยื่น ภ.ง.ด.90/91 ปลายปี สามารถนำยอดที่เสียภาษีครึ่งปี ภ.ง.ด. 94 ที่จ่ายไปแล้ว มาหักออกได้ เนื่องจากเป็นภาษีจ่ายล่วงหน้า
- นอกจากนี้ ร้านที่มีรายได้เกิน 1,800,000 ต่อปี ต้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat 7%) ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ก่อนภายใน 30 วัน และต้องยื่นภาษีแบบ ภ.พ.30 ก่อนวันที่ 15 ของทุกเดือนด้วยโดยสามารถยื่น ภ.พ.30 ได้ที่สำนักงานสรรพากรในเขตพื้นที่ หรือยื่นออนไลน์ที่เว็บไซต์ www.rd.go.th ก่อนวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ร้านอาหารมีรายได้เท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี - ร้านอาหารที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี แต่ต้องยื่นภาษี - ร้านที่มีรายได้สุทธิ 150,001 บาทต่อปีขึ้นไป ต้องเสียภาษี และสามารถยื่นลดหย่อนภาษีได้วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิเงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินที่ต้องจ่าย
เงินได้ = รายได้ที่ได้จากการเปิดร้านอาหาร หากมีรายได้อื่น ๆ ก็ต้องนำมาคำนวณด้วยค่าใช้จ่าย = สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้หัก ซึ่งมีทางเลือกในการหักค่าใช้จ่าย 2 ทาง คือ หักเหมา 60% หรือ หักตามจริงค่าลดหย่อน = ค่าลดหย่อนภาษีที่กฏหมายกำหนดให้นำไปหักออกจากเงินได้ เช่น ลดหย่อนส่วนตัว เบี้ยประกัน ลดหย่อนภาษีจากค่าเสื่อมและค่าสึกหรอของอุปกรณ์ หรืออาคาร ติดตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และข่าวสารภาษีจากกรมสรรพากร ได้ที่ www.rd.go.th/272.html
เจ้าของร้านอาหารต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้างในการยื่นภาษี
เอกสารบันทึกและเอกสารประกอบรายได้และค่าใช้จ่าย มีบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่เก็บรายละเอียดการจ่าย การรับทุกยอดและกำไรที่ได้ต่อวันไว้ พร้อมเอกสารหลักฐาน
โดยเอกสารที่นำมาใช้หักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษี ตัวอย่างเช่น 1) ใบเสร็จรับเงิน 2) ใบกำกับภาษี 3) บิลเงินสด 4) ใบสำคัญรับเงิน ควรมีข้อมูลชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือ หมายเลขบัตรประชาชนของคู่ค้า รายละเอียดสินค้าหรือบริการ จำนวนเงิน ซึ่งรายจ่ายที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือกิจการที่ทำอยู่
ค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักรายได้เพื่อคำนวณภาษีได้ มีลักษณะดังนี้
1. รายจ่ายที่เกี่ยวกับการดำเนินงานทั้งหมด เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าวัตถุดิบ ค่าอุปกรณ์ในการทำอาหาร ซึ่งต้องมีหลักฐานการจ่ายเงิน
2. ค่าอาคารที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาทำเป็นร้านอาหาร
3. ค่าเช่าที่ดิน ค่าเช่าอาคาร เพื่อทำร้านอาหาร
4. ดอกเบี้ยจากการกู้เงินมาลงทุนเปิดร้านอาหาร
*ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และเงื่อนไขของเอกสารที่นำมาใช้กับทางสรรพากรเพิ่มเติม
ขายอาหารในแอปเดลิเวอรี ไม่มีหน้าร้านต้องยื่นภาษีไหม
ร้านที่เปิดขายผ่านแอปเดลิเวอรีอย่างเดียว หรือมีหน้าร้านด้วยก็ตาม ต้องยื่นภาษีทุกปีเหมือนร้านอาหารทั่วไป โดยให้นำรายได้จากทุกช่องทางการขายมารวมกัน เพื่อใช้คำนวณอัตราการเสียภาษี
ขาดทุนหรือปิดร้านอาหารยังต้องยื่นและเสียภาษีไหม
ต้องยื่นภาษี ไม่ว่าจะเปิดร้านแล้วรายได้ไม่ดี ไม่มีกำไร หรือปิดกิจการ
สำหรับบุคคลธรรมดาไม่ต้องแจ้งการปิดกิจการ แต่ต้องยื่นภาษีประจำปีตามความเป็นจริง ซึ่งหากมีหลักฐาน เช่น มีบัญชี มีใบเสร็จต่าง ๆ ถูกต้องครบถ้วน หรือมีการจดทะเบียน และสามารถพิสูจน์ได้ว่าขาดทุน หรือเงินได้สุทธิไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี ก็ไม่ต้องเสียภาษี
หากไม่เสียภาษี จะเป็นยังไง